ประวัติ และ ผลงาน ของคีตกวีไทย
คีตกวี เป็นคำศัพท์ทางดนตรีที่พบได้บ่อยครั้ง หมายถึง ผู้ประพันธ์ดนตรี มักจะใช้เรียกผู้ที่แต่งและเรียบเรียงดนตรีบางประเภท โดยเฉพาะ ดนตรีคลาสสิก โดยที่ผู้แต่งเพลงมักจะแต่งทั้งท่วงทำนองหลัก และแนวประสานทั้งหมด เพื่อให้นักดนตรีเป็นผู้นำบทเพลงนั้นไปบรรเลงอีกทอดหนึ่ง โดยนักดนตรีจะต้องบรรเลงทุกรายละเอียดที่คีตกวีได้กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด โดยยกตัวอย่างมา 3 ท่าน ดังนี้
1.ครูมนตรี ตราโมท
มนตรี ตราโมท มีนามเดิมว่า บุญธรรม เกิดเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2443 เริ่มเรียนดนตรีปี่พาทย์ กับครูสมบุญ นักฆ้อง ต่อมาเรียนระนาดเอก ฆ้องวงใหญ่ แคลริเนต และหลักการแต่งเพลง กับครูสมบุญ สมสุวรรณ เรียนวิธีการแต่งเพลงกับพระยาประสานดุริยศัพท์ (แปลก ประสามศัพท์) และหลวงประดิษฐ์ไพเราะ(ศร ศิลปบรรเลง) และครูดนตรีไทยที่มีชื่อเสียงหลายท่าน รวมทั้งเรียนโน้ตสากลกับพระเจนดุริยางค์ (ปิติ วาทยกร) จนสามารถอ่านและเขียนได้เป็นอย่างดี
มนตรี ตราโมท รับราชการที่กรมพิณพาทย์หลวงในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นผู้บรรเลงระนาดทุ้มประจำวงข้าหลวงเดิม ต่อมาย้ายไปสังกัดกรมศิลปากร จนเกษียณอายุ และยังคงปฏิบัติราชการในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านดนตรีไทยจนถึงแก่อนิจกรรม
มนตรี ตราโมท มีฝีมือทางการบรรเลงเครื่งดนตรีไทยได้หลายชนิด ที่ได้รับยกย่องพิเศษ คือ ระนาดทุ้ม ได้แต่งเพลงไว้เป็นจำนวนมาก ประเภทเพลง 3 ชั้นเช่น เพลงต้อยตลิ่ง (แต่งร่วมกับหมื่นประคมเพลงประสาน) เพลงเทพไสยาสน์ เพลงจะเข้หางยาว ฯลฯ แต่งตำราทางวิชาการดนตรีไทยไว้ เช่น ดุริยางคศาสตร์ไทย ภาควิชาการ ศัพท์สังคีต ประวัติบทเพลงต่างๆ และบทความทางประวัติการดนตรีไทยจำนวนมาก นอกจากนั้น ยังได้สอนดนตรีและเป็นผู้บรรยายพิเศษแก่สถาบันต่างๆ เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร และมหาวิทยาลัยศิลปากร
ครูมนตรี ได้รับพระราชทานปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยศิลปากร เมื่อ พ.ศ.2523 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อพ.ศ.2524 และมหาวิทยาลัยศณีนครินทรวิโรฒ เมื่อพ.ศ.2526 ครูมนตรีได้รับพระราชทานโล่ห์เกียรติยศจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในฐานะนักดนตรีตัวอย่าง เมื่อพ.ศ.2524 โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นราชบัณฑิตนักศิลปกรรม ประเภทวิจิตรศลป์ สาขาดุริยางคศิลป์ เมื่อพ.ศ. 2524 และได้รับยกย่องเชิดชูเกียรติเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาดนตรีไทย ประจำปีพ.ศ.2528
2.ครูบุญยงค์ เกตุคง
ครูบุญยงค์ เป็นบุตรชายคนโตของนายเที่ยงและนางเขียน เกตุคง เกิดเมื่อวันอังคาร เดือน 4ปีวอก พ.ศ.2463 ที่ตำบลวัดสิงห์เป็นหลานปู่หลานย่าของนายใจและนางเพียร ชาวสวนตำบลดาวคนอง เป็นหลานตาหลานยายของนายเปี่ยมและนางภู่ ศรีประเสริฐ ตากับยายและแม่เป็นคนอัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม มีน้องชาย 2 คนชื่อบุญยังและทองอยู่ มีน้องสาว 1 คนชื่อเบญจางค์ น้องชายที่ชื่อบุญยังเป็นนักดนตรีฝีมือดี ครูมีภรรยาซึ่งเป็นน้องสาวครูชื้น ดุริยประณีตแต่ไม่มีบุตรด้วยกัน
ครูได้ศึกษาดนตรีกับนักดนตรีที่มีชื่อเสียงหลายท่านเช่น ครูหรั่ง พุ่มทองสุข ครูประสิทธิ์ เกตุคง ครูเพชร จรรย์นาค ครูสอน วงฆ้อง ครูเทวาประสิทธิ์ พาทยโกศล ครูพุ่ม บาปุยะวาส เป็นต้น จนมีความสามารถในการบรรเลงปี่พาทย์ได้ทุกประเภท ทั้งประกอบการแสดงโขน ละคร ลิเก จนถึงการประชันวงปี่พาทย์ นอกจากนั้นครูได้รับยกย่องสรรเสริญว่าเป็น “ระนาดเทวดา” เพราะมีฝีมือบรรเลงระนาดเอกได้ยอดเยี่ยมที่สุดคนหนึ่งในยุคสมัยเดียวกัน
ประวัติการทำงาน ครูได้เข้ารับราชการในกรมประชาสัมพันธ์ประมาณ 5 – 6 ปี จากนั้นเข้าเป็นนักดนตรีประจำอยู่ที่สถานีโทรทัศน์ช่อง 4 บางขุนพรหมอยู่ประมาณ 5 ปี จากนั้นเข้าเป็นนักดนตรีประจำวงดนตรีไทยของสำนักงานกรุงเทพมหานคร จนเกษียณอายุเมื่อ ปีพ.ศ.2525
ผลงานทางด้านการแต่งเพลงของครูมีมากหลายเพลงอาทิ โหมโรงสามสถาบัน โหมโรงจุฬามณี โหมโรงสามจีน เพลงเงี้ยวรำลึกเถา เพลงเริงพลเถา เพลงศรีธรรมราชเถา เพลงชเวดากองเถา เพลงพิรุณสร่างฟ้าเถา เพลงเพชรน้อยเถา เป็นต้น และยังแต่งทางเดี่ยวสำหรับเพลงต่างๆและเครื่องดนตรีต่างๆอีกเป็นอันมาก ผลงานการแต่งเพลงของครูในระยะหลัง มีชื่อเสียงแพร่หลายไปถึงต่างประเทศคือไปร่วมงานกับนายบรู๊ซ แกสตัน นักดนตรีชาวเยอรมันจัดทำเพลงชุด “เจ้าพระยาคอนแชร์โต้”บรรเลงด้วยเครื่องดนตรีไทยผสมเครื่องดนตรีฝรั่งเป็น ที่นิยมชมชอบกันโดยทั่วไป นอกจากนั้นท่านยังได้รับการยอมรับนับถือจาก เซอร์ ไซมอน แรทเทิล (Sir Simon Rattle [1955]) วาทยากรชาวอังกฤษ (ปัจจุบันดำรงตำแหน่งวาทยากรหลักของวงเบอร์ลินฟิลฮาร์โมนิคออร์เคสตรา) ในฐานะครูผู้ใหญ่อีกด้วย ด้วยเหตุนี้จึงเป็นเครื่องยืนยันว่า ครูบุญยงค์ เกตุคงเป็นอัจฉริยบุคคลทางดนตรีของไทยอีกผู้หนึ่งซึ่งยากจะหาผู้ใดเสมอ เหมือน ในเดือนกุมภาพันธ์ 2532 ครูได้เข้ารับพระราชทานโล่และเข็มเชิดชูเกียรติในฐานะศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ดนตรีไทย)ประจำปี 2531 นับเป็นเกียรติประวัติอันสูงส่งในชีวิตที่ครูได้รับ
ครูบุญยงค์ เกตุคง ถึงแก่กรรมเมื่อ พ.ศ. 2539 สิริรวมอายุได้ 76 ปี
3.ยืนยง โอภากุล
ยืนยง โอภากุล หรือ แอ๊ด คาราบาว เกิดเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2497 ตำบลท่าพี่เลี้ยง จังหวัดสุพรรณบุรี เริ่มต้นการศึกษาในระดับประถมศึกษาโรงเรียนวัดสุวรรณภูมิ ศึกษาต่อระดับ อุดมศึกษาที่อุเทนถวาย และบินไปเรียนต่อระดับปริญญาที่ ประเทศฟิลิปปินส์ สมัยเรียนร่วมก่อตั้งวงคาราบาวกับกิรติ พรหมสาขา ณ สกลนคร หรือ เขียว คาราบาวเพื่อนสมัยเรียนที่ฟิลิปปินส์ หลังจากจบการศึกษา ได้เข้าทำงานในตำแหน่งสถาปนิกที่การเคหะแห่งชาติ เป็นเวลา 5 ปี และเล่นดนตรีกลางคืน
ในปี พ.ศ. 2524 แอ๊ดทำอัลบั้มชุดแรกขึ้นในนามวงคาราบาว ใช้ชื่อชุดว่า “ขี้เมา” ปัจจุบันคาราบาวมีผลงานเพลงมากกว่า 90 อัลบั้ม ไม่ว่าจะเป็นผลงานภาคปกติ ภาคพิเศษ ภาคแสดงสด ของคาราบาว
บทเพลงของคาราบาวมีหลากหลาย แต่ละบทเพลงล้วนแล้วแต่มีความหมายเป็นเรื่องราวบอกถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ณ ยุคสมัยนั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นบทเพลงที่ทำให้คาราบาวประสบความสำเร็จสูงสุดด้วยเพลงเมดอินไทย แลนด์ ที่ให้คนไทยกลับมานิยมใช้สินค้าของไทย เป็นอัลบั้มที่ประวัติศาสตร์ต้องจารึกไว้ แอ๊ดคาราบาว ได้นำปรัชญา ศาสนา มาถ่ายทอดเป็นบทเพลง ทำให้บทเพลงของคาราบาวเป็นบทเพลงที่ควรแก่การจดจำ ฟังติดหู และบางเพลงเป็นเพลงอมตะ ที่ร้องกันมาจนถึงปัจจุบันนี้
แบบทดสอบเรื่อง ประวัติ และ ผลงาน ของคีตกวีไทย
เครื่องดนตรีไทย
วันเสาร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
วงมโหรี
3.วงมโหรี
ในสมัยโบราณเป็นคำเรียกการบรรเลงโดยทั่วไป เช่น "มโหรีเครื่องสาย" "มโหรีปี่พาทย์" ในปัจจุบัน มโหรี ใช้เป็นชื่อเรียกเฉพาะวงบรรเลงอย่างหนึ่งอย่างใดที่มีเครื่อง ดีด สี ตี เป่า มาบรรเลงรวมกันหมด ฉะนั้นวงมโหรีก็คือวงเครื่องสาย และวงปี่พาทย์ ผสมกัน วงมโหรีแบ่งเป็น วงมโหรีเครื่องสี่,วงมโหรีเครื่องหก,วงมโหรีเครื่องเดี่ยว หรือ มโหรีเครื่องเล็ก,วงมโหรีเครื่องคู่
3.1 มโหรีเครื่องเล็ก หรือ มโหรีเครื่องเดี่ยว
เกิดขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ในระยะแรกเพิ่มระนาดเอกและฆ้องวงใหญ่ ในระยะหลังได้เพิ่มซอด้วงและซออู้ เปลี่ยนกระจับปี่เป็นจะเข้
เกิดจากการการประสมกันระหว่างการบรรเลงพิณและการขับไม้ ปรากฏครั้งแรกในสมัยอยุธยา มีเครื่องดนตรี 4 ชนิดดังนี้
3.4 วงมโหรีเครื่องหก
ลักษณะคล้ายวงมโหรีเครื่องสี่ แต่ได้เพิ่มเครื่องดนตรีอีกสองอย่างคือ รำมะนาและขลุ่ยเพียงออ
ในสมัยโบราณเป็นคำเรียกการบรรเลงโดยทั่วไป เช่น "มโหรีเครื่องสาย" "มโหรีปี่พาทย์" ในปัจจุบัน มโหรี ใช้เป็นชื่อเรียกเฉพาะวงบรรเลงอย่างหนึ่งอย่างใดที่มีเครื่อง ดีด สี ตี เป่า มาบรรเลงรวมกันหมด ฉะนั้นวงมโหรีก็คือวงเครื่องสาย และวงปี่พาทย์ ผสมกัน วงมโหรีแบ่งเป็น วงมโหรีเครื่องสี่,วงมโหรีเครื่องหก,วงมโหรีเครื่องเดี่ยว หรือ มโหรีเครื่องเล็ก,วงมโหรีเครื่องคู่
3.1 มโหรีเครื่องเล็ก หรือ มโหรีเครื่องเดี่ยว
เกิดขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ในระยะแรกเพิ่มระนาดเอกและฆ้องวงใหญ่ ในระยะหลังได้เพิ่มซอด้วงและซออู้ เปลี่ยนกระจับปี่เป็นจะเข้
3.2 วงมโหรีเครื่องคู่
เหมือนกับวงมโหรีเครื่องเล็ก แต่ได้เพิ่มระนาดทุ้ม ฆ้องวงเล็ก ขลุ่ยหลิบ ซอด้วง ซออู้ จะเข้ และซอสามสายหลิบอย่างละหนึ่ง
3.3 วงมโหรีเครื่องสี่
- โทน
- ซอสามสาย
- กระจับปี่
- กรับพวง (ผู้ขับร้องเป็นผู้ตี)
3.4 วงมโหรีเครื่องหก
ลักษณะคล้ายวงมโหรีเครื่องสี่ แต่ได้เพิ่มเครื่องดนตรีอีกสองอย่างคือ รำมะนาและขลุ่ยเพียงออ
วันอังคารที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2554
วงเครื่องสาย
2. วงเครื่องสาย
เครื่องสาย ได้แก่ เครื่องดนตรี ที่ประกอบด้วยเครื่องดนตรีที่มีสายเป็นประธาน มีเครื่องเป่า และเครื่องตี เป็นส่วนประกอบ ได้แก่ ซอด้วง ซออู้ จะเข้ เป็นต้น ปัจจุบันวงเครื่องสายมี 4 แบบ คือ วงเครื่องสายเครื่องเดี่ยว,วงเครื่องสายเครื่องคู่,วงเครื่องสายผสม,วงเครื่องสายปี่ชวา
2.1วงเครื่องสายเครื่องเดี่ยว
- ซอด้วง
- จะเข้
- ซออู้
- ขลุ่ยเพียงออ
- ฉิ่ง
- โทน-รำมะนา
2.2 วงเครื่องสายเครื่องคู่
วงเครื่องสายเครื่องคู่ประกอบด้วย เครื่องดนตรีที่อยู่ในวงเครื่องสายเล็กเป็นหลัก โดยเพิ่มจำนวนของเครื่องดนตรีประเภททำทำนองจากเครื่องมือละหนึ่งเครื่องเป็นสองเครื่องหรือเป็นคู่ ดังต่อไปนี้ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
เป็นวงดนตรีที่ประกอบด้วยเครื่องดนตรีอย่างที่สังกัดในวงเครื่องสายไทย เพียงแต่เพิ่มเอาเ ครื่องดนตรีที่อยู่นอกเหนือจากวงเครื่องสายไทย หรืออาจจะเป็นเครื่องดนตรีพื้นเมือง หรือเครื่องดนตรีของต่างชาติก ็ได้ มาบรรเลงร่วมด้วย เช่น ไวโอลิน ออร์แกน ขิม หีบเพลงชัก เปียโน ระนาด แคน (หรือแม้แต่ซอสามสายอันเป็นเครื่อ งสีก็ตาม) เป็นต้น ซึ่งเครื่องดนตรีที่นำมาผสมนั้นต้องคำนึงถึงคุณลักษณะของเสียงด้วยว่ามีความ กลมกลืนมาก น้อยเพียงใด | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
วงปี่พาทย์
1.วงปี่พาทย์
วงที่มีเครื่องตีเป็นหลักสำคัญ เช่น ฆ้อง กลอง และมีเครื่องเป่าคือ ปี่ในเป็นประธานของวง (สมชื่อ) นอกนั้นเป็นเครื่องกำกับจังหวะฆ้องวงใหญ่ทำหน้าที่บรรเลงทำนองหลักของเพลง (เหมือนเป็นเบสคุมวง)ในขณะที่เครื่องดนตรีอื่น จะเล่นแปรทำนองไปตามทางเฉพาะของเครื่องนั้นๆนักดนตรีไทยนิยมนำวงปี่พาทย์ไป เล่นในงานประเพณี หรืองานบุญและงานเทศกาลต่างๆ เช่น ขึ้นบ้านใหม่ โกนจุก ทำบุญวันเกิด ไม่ก็บรรเลงประกอบการแสดงมหรสพต่างๆ เช่น โขน ลิเก ละคร เรายังสามารถแยกประเภทของวงปี่พาทย์ ย่อยลงไปได้อีกถึง 6 ประเภทด้วยกัน คือ
1.1 วงปี่พาทย์ชาตรี
ใช้บรรเลงประกอบละครชาตรี วงปี่พาทย์ชาตรี ยังมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า "วงปี่พาทย์เครื่องห้า ชนิดเบา" เพราะประกอบด้วยเครื่องดนตรี 5 ชิ้น (ที่มีน้ำหนักเบา) คือ ปี่นอก โทน กลองชาตรี ฆ้อง และฉิ่ง
1.2 วงปี่พาทย์ไม้แข็ง
ป็นวงมาตรฐานที่ได้รับความนิยมสูงสุด นักดนตรีจะเลือกใช้ไม้ตีชนิดแข็งตามชื่อวง
เพลงที่ได้จึงมีเสียงดังและหนักแน่น เหมาะกับงานรื่นเริง
และเพื่อให้เหมาะกับลักษณะงานยิ่งขึ้น
วงปี่พาทย์ไม้แข็งจึงแยกย่อยได้อีกตามขนาดของวง 3 ขนาด คือ
- วงปี่พาทย์ไม้แข็งเครื่องห้า : ประกอบด้วย ปี่ใน ระนาดเอก ฆ้องวงใหญ่ ตะโพน กลองทัด และฉิ่ง
เพลงที่ได้จึงมีเสียงดังและหนักแน่น เหมาะกับงานรื่นเริง
และเพื่อให้เหมาะกับลักษณะงานยิ่งขึ้น
วงปี่พาทย์ไม้แข็งจึงแยกย่อยได้อีกตามขนาดของวง 3 ขนาด คือ
- วงปี่พาทย์ไม้แข็งเครื่องห้า : ประกอบด้วย ปี่ใน ระนาดเอก ฆ้องวงใหญ่ ตะโพน กลองทัด และฉิ่ง
- วงปี่พาทย์ไม้แข็งเครื่องคู่ : เพิ่มจากขนาดวงเครื่องห้า ด้วย ปี่นอก ระนาดทุ้ม และฆ้องวงเล็ก (ให้สังเกตคำว่า "เครื่องคู่" นะ คำนี้จะทำให้เรารู้ว่าวงนี้จะต้องมีเครื่องดนตรีที่เป็นคู่กันเช่น ระนาดเอก-ระนาดทุ้ม, ฆ้องวงใหญ่-ฆ้องวงเล็ก, ปี่นอก-ปี่ใน )
- วงปี่พาทย์ไม้แข็งเครื่องใหญ่ : มีระนาดเหล็กทั้งเอก และทุ้ม เพิ่มเติมจากวงเครื่องคู่
(เครื่องประกอบจังหวะอาจใช้กลองแขกตีเฉพาะบางเพลง หรือในเวลาขับร้อง ถ้าประกอบเสภาใช้สองหน้าแทนตะโพน และกลองทัด)
1.3 วงปี่พาทย์ไม้นวม
วงประเภทนี้เกิดขึ้นเพราะความต้องการให้วงปี่พาทย์มีเสียงที่ไม่ดังเกินไป โดยเปลี่ยนจากไม้แข็งที่ใช้ตีระนาดเอกและฆ้องวงใหญ่เป็นไม้นวม และเปลี่ยนเครื่องเป่าจากปี่เป็นขลุ่ยเพียงออแทน และอาจเพิ่มซออู้เข้าไปด้วย เพื่อให้เสียงเพลงเบาและนุ่มนวลขึ้น วงปี่พาทย์ไม้นวมก็มีการแบ่งย่อยเป็น 3 ขนาดเช่นเดียวกับวงปี่พาทย์ไม้แข็ง
1.4 วงปี่พาทย์นางหงส์
คล้ายคลึงกับวงปี่พาทย์ไม้แข็งเพียงแต่ปรับเปลี่ยนเอาปี่ชวามาเล่นแทนปี่ใน และปี่นอก และเปลี่ยนกลองทัดกับตะโพนเป็นกลองมลายู 1 คู่
1.5 วงปี่พาทย์มอญ
เดิมที วงประเภทนี้นิยมเล่นกันเฉพาะในหมู่ชาวไทยรามัญ ทั้งงานมงคลและอวมงคลทั่วไป แต่ปัจจุบันนิยมเล่นแต่ในงานศพ วงปี่พาทย์มอญนี่สังเกตง่ายมาก เพราะจะมีเครื่องดนตรีที่มีลักษณะเด่นอย่าง เปิงมางคอก ฆ้องมอญ (แบบวงกลมหงายขึ้นบน) ปี่มอญ และตะโพนมอญ (มีการแบ่งขนาดเช่นเดียวกันกับปี่พาทย์ไม้แข็ง)
1.6 วงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์
เป็นวงที่ใช้บรรเลงประกอบละครดึกดำบรรพ์ในอดีต ซึ่งสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ได้ทรงปรับปรุงขึ้น เครื่องดนตรีในวงจะคัดเฉพาะที่มีเสียงทุ้มต่ำ นุ่มนวล คล้ายกับวงปี่พาทย์ไม้นวมเครื่องใหญ่ มีเครื่องดนตรีที่ต่างออกไป เช่น ขลุ่ยอู้ และฆ้องหุ่ย
ประเภทวงดนตรีไทย
ประเภทวงดนตรีไทย
ดนตรีไทยมักเล่นเป็นวงดนตรี มีการแบ่งตามประเภทของการบรรเลงที่เป็นระเบียบมาแต่โบราณกาลจนถึงปัจจุบันเป็น 3 ประเภท คือ
วันพฤหัสบดีที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2554
อ้างอิง
ต้องขอขอบพระคุณ ผู้จัดทำเว็บต่างๆ มีที่รายชื่อดังด้านล่างนี้ ที่ให้ใช้ข้อมูล มาเพื่อทำ Blog นี้
http://www.school.net.th/library/create-web/10000/arts/10000-4303.html
http://www.xn--42cg3bekk9dce9g7dra8iwc9b.com/coler.html
http://www.dusit.ac.th/department/music/music/thai/see.pdf
http://www.adirek.com/stwork/Thai%20Music/percussion%20instrument.htm
http://www.dusit.ac.th/department/music/music/thai/tee_mai.pdf
http://gotoknow.org/blog/yong2520/168041
http://www.adirek.com/stwork/Thai%20Music/wind%20instrument.htm
http://www.thaigoodview.com/node/10475
http://p-i-e.exteen.com/20071022/entry-1
http://www.school.net.th/library/create-web/10000/arts/10000-4303.html
http://www.xn--42cg3bekk9dce9g7dra8iwc9b.com/coler.html
http://www.dusit.ac.th/department/music/music/thai/see.pdf
http://www.adirek.com/stwork/Thai%20Music/percussion%20instrument.htm
http://www.dusit.ac.th/department/music/music/thai/tee_mai.pdf
http://gotoknow.org/blog/yong2520/168041
http://www.adirek.com/stwork/Thai%20Music/wind%20instrument.htm
http://www.thaigoodview.com/node/10475
http://p-i-e.exteen.com/20071022/entry-1
^^
เครื่องเป่า
เครื่องเป่า
ครื่องเป่าที่มุษย์รู้จักใช้แต่เดิม ก็คงเป็นหลอดไม้ รวก ไม้ไผ่ เช่นเป่าเป็นสัญญาณในการล่าสัตว์ ต่อมาใช้เป่าเขาสัตว์ เช่นในภาษาบาลี เรียกว่า "สิงคะ" ภายหลังรู้จักเจาะรูและทำลิ้นให้เปลี่ยนเสียงได้ จึงนำมาเล่นเป็นทำนอง และใช้เป็นเครื่องดนตรีอีกพวกหนึ่ง เช่น
ขลุ่ย
เป็นเครื่องดนตรีประเภทเป่าที่ไม่มีลิ้น ทำด้วยไม้รวกที่มีปล้องยาวๆ ใช้ไฟย่างให้แห้งและตบแต่งเป็นลวดลาย นอกจากนั้นก็อาจใช้วัสดุอื่นๆ มาทำแทนก็ได้ เช่น ไม้จริง งา พลาสติก บนลำขลุ่ยด้านหน้าจะเจาะรูกลมๆ เรียงกันเป็นแถวทั้งหมด 7 รู เพื่อสำหรับใช้นิ้วปิดเปิดทำให้เปลี่ยนระดับเสียงได้ตามต้องการ ที่นิยมในปัจจุบัน มี 3 ชนิด คือ
ขลุ่ยหลิบ
ขลุ่ยหลิบ เป็น ขลุ่ยขนาดเล็กยาวประมาณ 36 เซนติเมตร กว้างประมาณ 2 เซนติเมตร ขลุ่ยหลีบจะมีเสียงแหลมสูง เป็นเครื่องดนตรีที่อยู่ในจำพวกเครื่องนำใช้ผสมอยู่ในวงเครื่องสายเครื่อง คู่ วงเครื่องสายปี่ชวา วงมโหรีเครื่องคู่ วงมโหรีเครื่องใหญ่
ขลุ่ยเพียงออ
เป็นขลุ่ยขนาดกลางมีเสียงมาตราฐานใช้เทียบเสียงดนตรีไทย ยาวประมาณ 45-48 เซนติเมตร
ขลุ่ยอู้
เป็นขลุ่ยขนาดใหญ่ ยาวประมาณ 60 เซนติเมตร กว้างประมาณ 4.5 เซนติเมตร
ปี่
เป็นเครื่องดนตรีไทยแท้ ๆ ทำด้วยไม้จริงเช่นไม้ชิงชันหรือไม้พยุง กลึงให้เป็นรูปบานหัวบานท้าย ตรงกลางป่อง เจาะภายในให้กลวงตลอดเลา ทางหัวของปี่เป็นช่องรูเล็กส่วนทาง ปลายของปี่ ปากรูใหญ่ใช้ชันหรือวัสดุอย่างอื่นมาหล่อเสริมขึ้นอีกราวข้างละ ครึ่งซม ส่วนหัวเรียก ทวนบน ส่วนท้ายเรียกทวนล่าง ตอนกลางของปี่ เจาะรูนิ้วสำหรับเปลี่ยนเสียงลงมาจำนวน 6 รู รูตอนบนเจาะเรียงลงมา 4 รู เว้นระยะห่างเล็กน้อย เจาะรูล่างอีก 2 รู ตรงกลางของเลาปี่ กลึงขวั้นเป็นเกลียวคู่ไว้เป็นจำนวน 14 คู่ เพื่อความสวยงามและกันลื่นอีกด้วย ตรงทวนบนนั้นใส่ลิ้นปี่ที่ทำด้วยใบตาลซ้อนกัน 4 ชั้น ตัดให้กลมแล้วนำไปผูกติดกับท่อลมเล็กๆที่ เรียกว่า กำพวด เรียวยาวประมาณ 5 ซม. กำพวดนี้ทำด้วยทองเหลือง เงิน นาก หรือโลหะอย่างอื่นวิธีผูกเชือกเพื่อ ให้ใบตาลติดกับกำพวดนั้น ใช้วิธีผูกที่เรียกว่า ผูกตะกรุดเบ็ด ส่วนของกำพวดที่จะต้องสอดเข้าไปเลาปี่นั้นเขาใช้ถักหรือเคียน ด้วยเส้นด้าย สอดเข้าไปในเลาปี่ให้พอมิดที่พันด้ายจะทำให้เกิดความ แน่นกระชับยิ่งขึ้น ปี่ของไทยจัดได้เป็น 3 ชนิดดังนี้
ปี่ใน
เป็นเครื่องเป่าที่มีลิ้นผสมอยู่ในวงปี่พาทย์มาแต่โบราณ ที่เรียกว่า"ปี่ใน" ก็เพราะว่า ปี่ชนิดนี้เทียบเสียงตรงกับระดับเสียงที่เรียกว่า"เสียงใน" ซึ่งเป็นระดับเสียงที่วงปี่พาทย ์ไม้แข็งบรรเลงเป็นพื้นฐาน
ปี่นอก
มีขนาดเล็กสุดใช้เป่าในวงปี่พาทย์ชาตรี ในการเล่นโนราห์ หนังตลุง และ ละครชาตรี ต่อมาได้เข้ามาบรรเลงผสมในวงปี่พาทย์ไม้แข็งเครื่องคู่และเครื่องใหญ่ โดยเป่าควบคู่ไปกับปีใน มีระดับเสียงสูงกว่าปีใน
ปี่ชวา
เป็นเครื่องเป่าอีกประเภทหนึ่งที่มีลิ้น ซึ่งนำแบบอย่างมาจากชวา เข้าใจว่าเข้ามา เมืองไทยในคราวเดียวกับกลองแขก โดยเฉพาะในการเป่าเพลง ประกอบการรำ"กริซ" ในเพลง"สะระหม่า"ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น"๑"พบว่าปี่ชวาใช้เป่าร่วมกับ กลอง ในกระบวนพยุหยาตราทางชลมารคและสถลมาคร นอกจากนั้นยังพบเห็นปี่ชวาเป่า ประกอบการเล่นกระบี่-กระบอง และการชกมวย
หน้าแรก เครื่องดีด เครื่องสี เครื่องตี
ครื่องเป่าที่มุษย์รู้จักใช้แต่เดิม ก็คงเป็นหลอดไม้ รวก ไม้ไผ่ เช่นเป่าเป็นสัญญาณในการล่าสัตว์ ต่อมาใช้เป่าเขาสัตว์ เช่นในภาษาบาลี เรียกว่า "สิงคะ" ภายหลังรู้จักเจาะรูและทำลิ้นให้เปลี่ยนเสียงได้ จึงนำมาเล่นเป็นทำนอง และใช้เป็นเครื่องดนตรีอีกพวกหนึ่ง เช่น
ขลุ่ย
เป็นเครื่องดนตรีประเภทเป่าที่ไม่มีลิ้น ทำด้วยไม้รวกที่มีปล้องยาวๆ ใช้ไฟย่างให้แห้งและตบแต่งเป็นลวดลาย นอกจากนั้นก็อาจใช้วัสดุอื่นๆ มาทำแทนก็ได้ เช่น ไม้จริง งา พลาสติก บนลำขลุ่ยด้านหน้าจะเจาะรูกลมๆ เรียงกันเป็นแถวทั้งหมด 7 รู เพื่อสำหรับใช้นิ้วปิดเปิดทำให้เปลี่ยนระดับเสียงได้ตามต้องการ ที่นิยมในปัจจุบัน มี 3 ชนิด คือ
ขลุ่ยหลิบ
ขลุ่ยหลิบ เป็น ขลุ่ยขนาดเล็กยาวประมาณ 36 เซนติเมตร กว้างประมาณ 2 เซนติเมตร ขลุ่ยหลีบจะมีเสียงแหลมสูง เป็นเครื่องดนตรีที่อยู่ในจำพวกเครื่องนำใช้ผสมอยู่ในวงเครื่องสายเครื่อง คู่ วงเครื่องสายปี่ชวา วงมโหรีเครื่องคู่ วงมโหรีเครื่องใหญ่
ขลุ่ยเพียงออ
เป็นขลุ่ยขนาดกลางมีเสียงมาตราฐานใช้เทียบเสียงดนตรีไทย ยาวประมาณ 45-48 เซนติเมตร
ขลุ่ยอู้
เป็นขลุ่ยขนาดใหญ่ ยาวประมาณ 60 เซนติเมตร กว้างประมาณ 4.5 เซนติเมตร
ปี่
เป็นเครื่องดนตรีไทยแท้ ๆ ทำด้วยไม้จริงเช่นไม้ชิงชันหรือไม้พยุง กลึงให้เป็นรูปบานหัวบานท้าย ตรงกลางป่อง เจาะภายในให้กลวงตลอดเลา ทางหัวของปี่เป็นช่องรูเล็กส่วนทาง ปลายของปี่ ปากรูใหญ่ใช้ชันหรือวัสดุอย่างอื่นมาหล่อเสริมขึ้นอีกราวข้างละ ครึ่งซม ส่วนหัวเรียก ทวนบน ส่วนท้ายเรียกทวนล่าง ตอนกลางของปี่ เจาะรูนิ้วสำหรับเปลี่ยนเสียงลงมาจำนวน 6 รู รูตอนบนเจาะเรียงลงมา 4 รู เว้นระยะห่างเล็กน้อย เจาะรูล่างอีก 2 รู ตรงกลางของเลาปี่ กลึงขวั้นเป็นเกลียวคู่ไว้เป็นจำนวน 14 คู่ เพื่อความสวยงามและกันลื่นอีกด้วย ตรงทวนบนนั้นใส่ลิ้นปี่ที่ทำด้วยใบตาลซ้อนกัน 4 ชั้น ตัดให้กลมแล้วนำไปผูกติดกับท่อลมเล็กๆที่ เรียกว่า กำพวด เรียวยาวประมาณ 5 ซม. กำพวดนี้ทำด้วยทองเหลือง เงิน นาก หรือโลหะอย่างอื่นวิธีผูกเชือกเพื่อ ให้ใบตาลติดกับกำพวดนั้น ใช้วิธีผูกที่เรียกว่า ผูกตะกรุดเบ็ด ส่วนของกำพวดที่จะต้องสอดเข้าไปเลาปี่นั้นเขาใช้ถักหรือเคียน ด้วยเส้นด้าย สอดเข้าไปในเลาปี่ให้พอมิดที่พันด้ายจะทำให้เกิดความ แน่นกระชับยิ่งขึ้น ปี่ของไทยจัดได้เป็น 3 ชนิดดังนี้
ปี่ใน
เป็นเครื่องเป่าที่มีลิ้นผสมอยู่ในวงปี่พาทย์มาแต่โบราณ ที่เรียกว่า"ปี่ใน" ก็เพราะว่า ปี่ชนิดนี้เทียบเสียงตรงกับระดับเสียงที่เรียกว่า"เสียงใน" ซึ่งเป็นระดับเสียงที่วงปี่พาทย ์ไม้แข็งบรรเลงเป็นพื้นฐาน
ปี่นอก
มีขนาดเล็กสุดใช้เป่าในวงปี่พาทย์ชาตรี ในการเล่นโนราห์ หนังตลุง และ ละครชาตรี ต่อมาได้เข้ามาบรรเลงผสมในวงปี่พาทย์ไม้แข็งเครื่องคู่และเครื่องใหญ่ โดยเป่าควบคู่ไปกับปีใน มีระดับเสียงสูงกว่าปีใน
ปี่ชวา
เป็นเครื่องเป่าอีกประเภทหนึ่งที่มีลิ้น ซึ่งนำแบบอย่างมาจากชวา เข้าใจว่าเข้ามา เมืองไทยในคราวเดียวกับกลองแขก โดยเฉพาะในการเป่าเพลง ประกอบการรำ"กริซ" ในเพลง"สะระหม่า"ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น"๑"พบว่าปี่ชวาใช้เป่าร่วมกับ กลอง ในกระบวนพยุหยาตราทางชลมารคและสถลมาคร นอกจากนั้นยังพบเห็นปี่ชวาเป่า ประกอบการเล่นกระบี่-กระบอง และการชกมวย
หน้าแรก เครื่องดีด เครื่องสี เครื่องตี
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)